แผนที่การใช้ชีวิตตามเสียงเรียกของหัวใจ : แนะนำหนังสือ Real Artists Don’t Starve

จะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถ ใช้ชีวิตและหาเลี้ยงชีพได้ด้วยสิ่งที่ตัวเองรักและหลงใหล แต่ท่ามกลางเสียงจากคนรอบข้างคอยบอกเราว่า เราจะทำได้หรือ เราน่าจะทำอาชีพนั้น ควรจะเรียนอันนี้ เพราะเราจะได้มีความมั่นคงในชีวิต….. หากที่สุดแล้วเราต้องทนทำสิ่งที่ “ควรทำ” ไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีความสุข ความมั่นคงภายในใจมันไม่มีละ จะทำอย่างไรดี เราจะเริ่มต้นทางของเราใหม่ได้หรือไม่ ต้องทำอย่างไรบ้าง

Timeless Strategies for Thriving in the New Creative Age
Real Artists Don’t Starve

แผนที่สำหรับการเดินทาง

หากจะมีหนังสือสักเล่มหนึ่งที่ค่อย ๆ เล่าถึงวิธีการที่ ผู้คนมากมาย ค่อย ๆ สร้างเส้นทางของตัวเอง ให้ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองหลงใหล จนเลี้ยงชีพได้ ประสบความสำเร็จ ผมคิดว่าหนังสือ  Real Artists Don’t Starve โดย Jeff coins คือหนังสือเล่มนั้น แม้ว่าหนังสือจะใช้คำว่า ศิลปิน  แต่ Jeff ตีความ “ศิลปิน” ในแง่มุมที่กว้างมาก กินเลยไปถึงผู้ประกอบการที่สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับสังคม ให้กับอุตสาหกรรมของตนเอง ผู้กำกับภาพยนต์ คนทำนิตยสาร แต่ยังคงรวมนักร้อง นักแสดง นักเขียน ศิลปิน อยู่ด้วย ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จึงมีตัวอย่างที่หลากหลายตามอาชีพที่ได้กล่าวไป

Jeff ได้สำรวจและยกกรณีตัวอย่างมากมายหหลากหลายและน่าติดตาม มาเล่าในหนังสือ เพื่อให้เราเห็นว่า มีคนมากมายที่ทำได้สำเร็จ และมีรายละเอียดในแง่มุมต่าง ๆ ที่สนับสนุนข้อโต้แย้งหรือหักร้างมายาคติที่มีต่อการทำานศิลปะ งานสร้างสรรค์ได้อย่างน่าสนใจ เช่น

การเป็นศิลปินมักไส้แห้ง ซึ่งจริง ๆ แล้วมีศิลปินมากมายที่ประสบความสำเร็จจากงานสร้างสรรค์ของตัวเอง

การสร้างงานศิลปะจำเป็นต้องเป็นงานชิ้นเอก ไม่เหมือนใคร ซึ่งจริง ๆ แล้วศิลปินที่ประสบความสำเร็จ ค่อย ๆ สร้างตัวตนจากการเลียนแบบในช่วงแรกและค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะปรับปรุงสร้างสรรค์ให้เป็นงานของตัวเอง ในหนังสือ Jeff ได้ยกตัวอย่าง ไมเคิล แองเจโล ที่ในการช่วงเริ่มต้นก็เริ่มจากการ copy งาน ดังสรุปย่อในคลิบนี้

 ปลดล๊อคเสียงในหัว

ส่วนสำคัญในหนังสือเล่มนี้ คือ การปลดล๊อคเสียงในหัว หรือความคิดของผู้คนที่คอยฉุดรั้งเราไว้ เช่น การแสดงเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน เรียนศิลปะไปจะไส้แห้ง และโดยเฉพาะความคิดที่ว่าศิลปะเพื่อศิลปะ ไม่ใช่เรื่องเงิน ธุระกิจ ทำให้ศิลปินมักมีปัญหาที่จะโฆษณาตัวเอง หรือรู้สึกลำบากใจที่จะ “ขาย” งานของตัวเอง

เรื่อง mindset นี้มีความสำคัญมากและมันกำหนดเส้นทางของชีวิต ซึ่งผมเคยเขียนถึงใน “ปิดประตูหลังล๊อคตัวเองให้ไปข้างหน้า” ประเด็นคือ เราจะเป็นตามสิ่งที่เราคิด คือถ้าเราบอกว่าเราทำงานศิลปะ เพื่อศิลปะ ไม่ได้สนใจเรื่องเงิน ถ้าเราคิดอย่างนี้แล้วจะทำให้เส้นทางเดินของเราแคบ ขึ้นไปอีกเพราะเราจะตั้งโปรแกรมให้เราไม่เอาเรื่องเงินเข้ามาคิด ทีนี้ถ้าเราไม่ใส่ใจเรื่องเงินแล้วใครจะจัดการตรงนี้ให้เรา แสดงว่าเราจะต้องเอาชีวิตของเราไปฝากไว้กับปัจจัยภายนอกให้คนอื่นมาจัดการเรื่องนี้ให้ ซึ่งถ้ามี partner ที่ดี มีคนดูแลตรงนี้เราก็โชคดีไป แต่ในยุคสมัยที่คนกลางถูกตัด แมกกาซีนปิดตัว แกลอรี่ศิลปะเริ่มอยู่ได้ยาก เพราะศิลปินสามารถขายงานตรงสู่ผู้ซื้อได้ง่ายขึ้น นักเขียนสามารถเปิดบล๊อคเขียนเรื่องของตัวเองได้  ซึ่ง Jeff ช่วยอธิบายตรงนี้ให้เราได้เห็นภาพว่า ในการทำงานของเราต่างมีต้นทุน ค่าสี การฝึกฝน การเรียนรู้ที่เราทุ่มเทเวลาต่าง ๆ ที่เราใช้ ถ้าเราไม่สามารถหาเงินมาสนับสนุนได้ เราจะทำงานต่อไปได้อย่างไร ดังนั้นเราจึงต้องการเงินเพื่อมาทำงานสร้างสรรค์ของเราให้ดียิ่งขึ้น ถ้าเราสามารถหาเงินได้มาก เรามีโอกาสที่จะทำงานที่ดียิ่งขึ้นไปอีก และงานของเรามีคุณค่า เราจึงควรมีรายได้จากคุณค่าที่เรามอบให้ ถ้าเราไม่เห็นคุณค่าในงานของเรา ใครจะมาเห็น

ปลา โดย สีฝุ่น
魚 Fish by See Foon

มีแค่ passion ไม่พอ 

Jeff พูดถึงการทำตามเสียงเรียกของหัวใจ การทำตาม passion ที่เหมือนเป็น keyword ของยุคสมัย ดูเหมือนดี มีชีวิตสบาย ตามที่มักมีคนขายฝัน แต่จริง ๆ มันลึกกว่านั้น เพราะสิ่งที่เขาเน้นย้ำภายหลังจากการเดินตาม passion คือ การฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก ทำในสิ่งที่ตัวเองรักอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้รายได้ตอบแทนเลยใช้ช่วงต้น แต่ค่อย ๆ หาทางทำสิ่งเหล่านั้น อย่างสม่ำเสมอ จนตัวเองเชี่ยวชาญและโลกก็ตอบแทนความเชี่ยวชาญเหล่านัันด้วย รายได้ที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตบนสิ่งที่ตัวเองรัก Jeff ได้ยกตัวอย่างนักเขียนที่ทำงานประจำ หาเวลาเขียนหนังสือของตัวเองทุกวันเป็นประจำเป็นปี ๆ ทนายความสาวที่ไม่มีความสุขกับงานและนึกถึงการแสดงที่ตัวเองชอบในวัยเด็กจึงได้เข้าอบรมช่วงเย็น นอกเวลางานจนสามรถรับงานแสดงเล็ก ๆ และเยอะขึ้นจนเพียงพอและออกจากงานได้ในที่สุด

ทางเดินของพวกเขาจึงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแบบรวยเร็วรวยง่าย แต่การได้ทำในสิ่งที่ชอบก็ทำให้พวกเขาสามารถเดินต่อไปได้เรื่อย ๆ

คือมันไม่ใช่เรื่องการเลือกระหว่างการหาเงินเลี้ยงชีพ กับการทำสิ่งที่รัก แต่เป็นเรื่องของการหาหนทางของตัวเอง ในการได้ทำสิ่งที่ตัวเองสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในชีวิต จนเป็นงานหลักของชีวิต แต่ถ้าเรามีความสุขกับงานประจำหรือชีวิตที่เป็นอยู่การออกจากงานประจำก็คงไม่ใช่สิ่งจำเป็น

แผนที่ก็คือแผนที่ 

แผนที่ก็คือแผนที่ โค้ชก็คือโค้ช คนที่ต้องเดินทางคือตัวเราเอง แผนที่บางฉบับ ถ่ายรูปสถานที่ปลายทางสวยงามจนเราอยากไป แต่ให้รายละเอียดการเดินทางน้อย  ไม่ได้บอกว่าต้องเจอหนทางขรุขระ อุปสรรคความยากลำบากอะไรบ้าง สุดท้ายแผนที่ขายได้เยอะ แต่คนเดินไม่ถึงไหนหรืออาจจะหลงทาง แต่หนังสือเล่มนี้ให้รายละเอียดที่รอบด้าน ลงรายละเอียดวิธีการเทียบกับกรณีตัวอย่าง ถือเป็นการถอดบทเรียนจากคนที่เดินทางถึงเป้าหมายแล้ว มาเล่าให้เราฟัง แยกแยะเป็นหมวดหมู่ให้เข้าใจง่าย ไม่ได้มีแต่ด้านบวกเพียงด้านเดียว แม้จะไม่ได้ฉายให้เห็นถึงด้านลบมากนัก แต่ก็เน้นให้เห็นปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้

สุดท้ายไม่ว่าแผนที่จะดีแค่ไหน ถ้าเราไม่เริ่มเดินทางก็เท่านั้น และเดินไปแล้วจะเจออะไร จะเลิกล้มหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเรา แต่การเตรียมตัวที่ดี มีแผนที่ดี ช่วยให้เราแก้ปัญหาระหว่างทางได้มาก

เสียดายหนังสือเล่มนี้คงยังไม่มีภาษาไทยออกมาในเร็ววันนี้ เพราะหนังสือเพิ่งออกเมื่อต้นเดือน มิถุนายนนี้  แต่คิดว่าเป็นหนังสือที่อ่านไม่ยาก คือผมใช้วิธีฟังเป็นหนังสือเสียงเอาจาก adible.com ก็พอเข้าใจเนื้อหาส่วนใหญ่ และคนให้เสียงบรรยายได้ดี

*************

หมายเหตุ

link ที่ใส่ในบทความส่วนใหญ่จะเป็น Affiliate link คือผมจะได้รับ % หากท่านได้ซื้อสิ้นค้าผ่าน link เหล่านั้น ซึ่งถือการเป็นการสนับสนุนผมอีกทางหนึ่งครับ

 

Facebook Comments